
พายุเฮอริเคนเออร์มา (ตอนที่ 2)
กล้องถ่ายภาพคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความละเอียดปานกลาง (MODIS) ที่ติดตั้งอยู่บนดาวเทียม Terra ขององค์การนาซาได้บันทึกภาพที่สาม เมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560 พายุก็ได้พัดถล่มแองกวิลลาและพร้อมที่จะถล่มหมู่เกาะเวอร์จิน ภาพเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2560 ไม่เพียงแต่กระแสลมของพายุเฮอริเคนเออร์มาที่มีกำลังแรงเท่านั้น ความแรงกระแสลมยังแผ่ขยายครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางอย่างไม่น่าเชื่อ กระแสลมระดับพายุเฮอริเคนมีความกว้างถึง 50 ไมล์ (85 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) จากศูนย์กลางพายุ กระแสลมระดับเขตร้อนมีความกว้างถึง 185 ไมล์ หรือ (295 กิโลเมตรต่อชั่วโมง) นักอุตุนิยมวิทยาได้บันทึกไว้ว่าพายุเฮอริเคนมีความกดอากาศที่ศูนย์กลางอยู่ที่ (914 มิลลิบาร์) ต่ำที่สุดเท่าที่วัดได้สำหรับพายุที่อยู่นอกอ่าวแมกซิโกและทะเลแคริบเบียนฝั่งตะวันตก วันที่ 6 กันยายน พายุเฮอริเคนเออร์มา นักอุตุนิยมวิทยาได้ใช้ถ้อยคำว่าพลังงานสะสมของพายุไซโคลน ซึ่งบรรยายว่าพายุเฮอริเคนเออร์มานั้นมีอำนาจการทำลายล้างมากกว่าพายุที่เกิดขึ้นไปแล้วในฤดูพายุ 8 ลูกแรกในมหาสมุทรแอตแลนติกรวมกันของปี 2560 ตามที่นักอุตุนิยมวิทยาชื่อนาย Philip Klotzbach แห่งมหาวิทยาลัยรัฐโคโลราโดกล่าวไว้ พายุเฮอริเคนเออร์มาได้ทำลายสถิติในการสะสมพลังงานเป็นพายุไซโคลนมากที่สุดในระยะเวลา 24 ชั่วโมง ล่าสุด ศูนย์พยากรณ์เฮอริเคนแห่งชาติอยากให้เฮอริเคนลูกนี้เปลี่ยนทิศไปทางเหนือถึงตะวันตกเฉียงเหนือหลังจากเฉียด เปอร์โตริโก สาธารณรัฐโดมินิกัน และ ไฮติ ต่อจากนั้นการพยากรณ์ได้เผยให้เห็นว่าเส้นทางเดินของพายุเฮอริเคนเออร์มา มีแนวทางเคลื่อนผ่านไปหรือใกล้กับเติร์กและหมู่เกาะเคคอส บาฮามาส และจะขึ้นฝั่งที่ฟลอริด้าในที่สุด การพยากรณ์ทิศทางของพายุเฮอริเคนยังคงมีความซับซ้อนและท้าทายยิ่งนัก แต่นักอุตุนิยมวิทยากลับมีทักษะมากยิ่งขึ้นกับการพยากรณ์ทั้งการเฝ้าติดตามและความรุนแรงของพายุต่าง ๆ ในกว่าทศวรรษที่ผ่านมา การพยากรณ์การเฝ้าติดตามเส้นทางเดินพายุห้าวันล่วงหน้า ณ ตอนนี้ดีกว่าการพยากรณ์สองวันล่วงหน้าเมื่อย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2528 นักวิจัยอุตุนิยมวิทยาแห่งศูนย์ Goddard Space Flight ของ องค์การนาซา นาย Scott Braun กล่าวว่า “การพยากรณ์ความรุนแรงพายุพัฒนาไปช้าแต่ก็ได้นำมาใช้หลังปี พ.ศ. 2552 การแก้ไขปรับปรุงเป็นผลมาจากการลงทุนต่าง ๆ อันนำมาซึ่งแบบจำลองต่าง ๆ ที่ดีกว่า ประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นจากการร่วมมือประสานการพยากรณ์และการร่วมกันปรับปรุงฐานข้อมูลทางเทคนิค” หากคุณอาศัยอยู่ใกล้ที่ใดก็ตามที่เป็นไปได้ว่าเป็นเส้นทางพายุเฮอริเคนเออร์มา กรุณาเข้าไปที่เว็บไซต์การเตรียมพร้อมรับมือพายุเฮอริเคน ในส่วนของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ ที่มาบทความ : Daily Express บันทึก : เมื่อวันที่ 6 กันยายน พ.ศ ...

ดาวเทียมสำรวจความชื้นของดินในช่วงที่เกิดพายุเฮอร์ริเคน Harvey
ดาวเทียมสำรวจความชื้นของดินในช่วงที่เกิดพายุเฮอร์ริเคน Harvey ตั้งแต่เกิดเฮอร์ริเคน Harvey เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2560 ปริมาณน้ำฝนลดลงมากเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะรอบ ๆ เมืองฮิวส์ตัน รัฐเท็กซัส เมื่อวานพวกเขาเผยการคาดการณ์ปริมาณน้ำฝนโดยอ้างอิงข้อมูลจากดาวเทียม ในขณะที่ภาพของวันนี้แสดงถึงผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคน ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 19-27 สิงหาคม พ.ศ. 2560 แผนที่ด้านบนแสดงถึงสภาพของดินโดยรอบทางตอนใต้ของรัฐเท็กซัสในวันที่ 27 สิงหาคม เปรียบเทียบกับวันที่ 19 สิงหาคม สีต่าง ๆ บนแผนที่แสดงถึงปริมาณความชื้นของดิน โดยสีที่เข้มที่สุดแทนดินที่ใกล้อิ่มตัวหรืออิ่มตัวแล้ว และขนาดของหกเหลี่ยมแสดงถึงระดับการเปลี่ยนแปลงความชื้นของดินตั้งแต่วันก่อนเกิดเฮอร์ริเคน Harvey จนถึงช่วงกลางของเหตุการณ์พายุเฮอร์ริเคนนี้ซึ่งถือเป็นวันที่สามารถเก็บข้อมูลได้ล่าสุด สำหรับโดยรอบเมืองฮิวส์ตัน แสดงข้อมูลเพียงบางส่วน เนื่องจากพื้นผิวของพื้นที่แถวนั้น น้ำไม่สามารถผ่านได้ เช่น ถนน ตึก และโครงสร้างพื้นฐาน อุตุนิยมวิทยาและรายงานการติดตามภัยแล้งก่อนที่จะเกิดพายุเฮอร์ริเคนแสดงถึงความแห้งแล้งที่ผิดปกติที่ทุเลาลงในพื้นที่ตอนเหนือและตะวันตกของเมืองฮิวส์ตัน รวมถึงใกล้เมือง Chorpus Christi ด้วย ในขณะที่พื้นที่ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองฮิวส์ตัน ค่อนข้างมีฝนมาก นักอุตุนิยมวิทยาจาก Southeast Regional Climate Center บันทึกไว้ในวันที่ 23 สิงหาคมซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะเกิดพายุเฮอร์ริเคน Harvey ว่า รัฐเท็กซัส หลุยเซียร์นา และรัฐอื่น ๆ ทางตอนใต้กำลังจะเกิดฝนตกหนักมากที่สุดเป็นเวลาประมาณ 1 เดือน ข้อมูลที่ใช้ในแผนที่ด้านบนมาจากดาวเทียม Soil Moisture Active Passive (SMAP) ซึ่งใช้เครื่องวัดพลังงานรังสีในการวัดความชื้นของดินในระยะความลึก 5 เซนติเมตรจากพื้นดิน มีความละเอียดประมาณ 9 กิโลมิเตอร์ต่อพิกเซล คุณสามารถเห็นข้อมูลภาพที่ได้จาก SMAP เปรียบเทียบก่อนและหลังการเกิดเฮอร์ริเคนตามรูปด้านล่าง ณ วันที่ 21 และ 22 สิงหาคม 2560 และ วันที่ 25 และ 26 สิงหาคม 2560 จากการสำรวจแบบ SMAP พบว่า ก่อนการเกิดพายุเฮอร์ริเคน ระดับความชื้นของดินอยู่ในช่วง 20 ...

ประเทศอาร์เจนตินาในยามค่ำคืน
ภาพในปี พ.ศ. 2560 - เปรียบเทียบความเปลี่ยนแปลง เมื่อมองลงมาจากดาวเทียมในเวลากลางวัน พื้นโลกบริเวณศูนย์กลางประเทศอาร์เจนตินาแสดงให้เห็นถึงการลงหลักปักฐานของมนุษย์เรา แต่ในช่วงเวลากลางคืนสถานที่ต่าง ๆ จะเหมือนจุดเรืองแสงเชื่อมต่อกันเป็นเส้นยาว แสงสว่างที่ปรากฏท่ามกลางความมืด บดบังความเป็นตัวตนของเมืองต่าง ๆ เอาไว้หมด จุดแสงไฟเหล่านี้จะปรากฏในทุก ๆ 30-50 กิโลเมตร (คร่าว ๆ ประมาณ 20-30 ไมล์) ตามเมืองต่าง ๆ อยู่รอบสถานีรถไฟ แผนที่จากช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ได้บันทึกเครือข่ายการเชื่อมต่อของเส้นทางรถไฟที่มีลักษณะแปลกตาเอาไว้ วันนี้รถยนต์ได้รับความนิยมกว่ารถไฟมาก แต่เส้นทางรถไฟก็ยังคงอยู่ตามพื้นที่ทั่วไป เส้นทางบางสายสามารถมองเห็นได้จากอวกาศ เช่นสายที่วิ่งขนานระหว่างเมืองคอร์โดบาและวิลล่า มาเรีย เช่นเดียวกับแนวเส้นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือที่วิ่งผ่านเมืองริโอควารโด ในภาพที่สองแสดงให้เห็นถึงผลสำรวจแสงไฟยามค่ำคืนของเมืองอาร์เจนตินาในปี พ.ศ. 2560 ภาพนี้ถูกทำมาจากการรวมส่วนต่าง ๆ ของโลกโดยเก็บเกี่ยวข้อมูลจากคืนที่ท้องฟ้าสดใสที่สุดในแต่ละเดือน ด้วยเครื่อง Visible Infrared imaging Radiometer Suite (VIIRS) บนดาวเทียม NASA-NOAA Suomi NPP เครื่อง VIIRS นี้ทำงานด้วยระบบพิเศษ day/night band ซึ่งเป็นเซนเซอร์ที่ระดับแสงต่ำที่ตรวจวัดการแผ่รังสีและการสะท้อนแสง จะช่วยให้นักวิจัยสามารถแยกแยะความหนาแน่น ประเภท และแหล่งแสงไฟตอนกลางคืน และเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์การเปลี่ยนแปลงช่วงข้ามคืน ภาพถ่ายสีตามธรรมชาติ (ด้านซ้าย) เป็นภาพถ่ายจากดาวเทียม Aqua และ Terra โดยเครื่อง Moderate Resolution imaging Spectroradiometer (MODIS) บันทึกพื้นที่บริเวณเดียวกันในช่วงเวลากลางวันที่ซึ่งไร้เมฆปกคลุม มีพื้นที่สำหรับเพาะปลูกและปศุสัตว์ทั่วไปทั้งอณาเขต ผู้คนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ ๆ ของประเทศ รวมถึงเมืองคอร์โดบาและซานตาเฟ เนื่องจากองค์การอาหารและเกษตรกรรมแห่งสหประชาชาติ (FAO) ทำให้ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของประชากรของประเทศอาร์เจนตินาอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท ที่มาบทความ : บทความโดย Pola Lem บันทึก : เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 สืบค้นจาก : https://earthobservatory.nasa.gov/IOTD/view.php?id=90265 ...

A-68 ที่ล่องลอยอย่างไม่มีจุดหมาย
ภาพเมื่อวันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2560 มีหลายเหตุการณ์ได้เกิดขึ้น ณ คาบสมุทรแอนตาร์กติก (Antarctic Peninsula) ภายใต้คืนมืดที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งขั้วโลกในปี 2560 นั่นคือ “การหลุดตัว” (calving) ของภูเขาน้ำแข็งขนาดใหญ่ (iceberg) จากหิ้งน้ำแข็งลาร์เซน ซี (Larsen C ice shelf) ในเดือนกรกฎาคม นักวิทยาศาสตร์ต้องอาศัยข้อมูลที่พิจารณาทั้งจากด้านอุณหภูมิและจากเรดาร์ เพื่อสังเกตรอยแตกแยกและเพื่อเฝ้าดูการเคลื่อนตัวที่จะตามมาในภายหลังของก้อนน้ำแข็ง กระทั่งในเดือนสิงหาคม นักวิทยาศาสตร์ได้รับภาพของภูเขาน้ำแข็งก้อนใหม่ที่แสงอาทิตย์ส่องถึงเป็นครั้งแรก ซึ่งศูนย์สังเกตการณ์สภาพน้ำแข็งแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (US National Ice Center) ตั้งชื่อว่า A-68 เครื่องวัดความละเอียดในระดับปานกลาง (MODIS) บนดาวเทียม Terra ขององค์การนาซา ได้จับภาพมุมกว้างของภูเขาน้ำแข็งนี้ในวันที่ 11 กันยายน และอีกหลายวันต่อมาในวันที่ 16 กันยายน อุปกรณ์บันทึกข้อมูล Operational Land Imager (OLI) และ Thermal Infrared Sensor (TIRS) บนดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติแลนด์แซท 8 (Landsat 8)ได้จับภาพรายละเอียดของภูเขานี้ได้อีก ภาพด้านซ้ายมือ แสดงภูเขาน้ำแข็งในลักษณะที่เป็นภาพสีผสมจริงตามธรรมชาติของมัน จะเห็นร่องรอยการแตกแยกของก้อนภูเขาน้ำแข็งหลักและหิ้งน้ำแข็งขยายกว้างออก ในขณะที่ก้อนเมฆที่อยู่เหนือไปทางตะวันออกได้ฉายเงาลงบนภูเขาน้ำแข็ง ส่วนภาพด้านขาวมือ เมื่อพิจารณาจากข้อมูลด้านอุณหภูมิ แสดงพื้นที่เดียวกัน แต่ในลักษณะภาพสีผสมเท็จ สังเกตได้ว่าก้อนเมฆเหนือหิ้งน้ำแข็งไม่ได้แสดงอะไรเหมือนเช่นที่ภาพจากอุณหภูมิแสดงออกมา เป็นเพราะว่ามันมีอุณหภูมิเดียวกันกับหิ้งน้ำแข็งเลย ภาพที่พิจารณาจากอุณหภูมิจึงมีข้อดีคือ สามารถแสดงขอบเขตที่เป็นจุดสิ้นสุดของบริเวณน้ำแข็งที่เย็นกว่า กับจุดเริ่มต้นของน้ำที่อุ่นในทะเล Weddell (Weddell Sea) นอกจากนี้ยังสามารถบ่งชี้ความแตกต่างของความหนาของน้ำแข็งได้ด้วย ตัวอย่างเช่น “me’lange” มีความหนากว่า (ซึ่งแสดงสัญญาณที่เย็นกว่า) น้ำแข็งฟราซิล (frazil ice) แต่มีความบางกว่า (ซึ่งแสดงสัญญาณที่อุ่นกว่า) หิ้งน้ำแข็งและภูเขาน้ำแข็ง ภาพข้างล่างต่อไปนี้ แสดงความบางของชิ้นน้ำแข็งฟราซิล (ซึ่งไม่สามารถต้านทานกระแสลม กระแสน้ำขึ้นน้ำลงได้มากนัก) และแสดงแนวโน้มการเคลื่อนที่ของภูเขาน้ำแข็งก้อนใหญ่นี้ ที่ห่างออกจากหิ้งน้ำแข็งลาร์เซน ซี (Larsen C) ในช่วงหลายสัปดาห์ของการสังเกตการณ์ นักวิทยาศาสตร์ได้พบการขยายของรอยแตกระหว่างภูเขาน้ำแข็งกับหิ้งน้ำแข็งที่กว้างออกไปมากขึ้น การขยายตัวออกอย่างช้า ๆ ...